News

จากชั่วขณะหนึ่ง สู่ชั่วขณะหนึ่ง

Language : ENGLISH : THAI

ผมตั้งใจไว้ว่าจะปั่นจักรยานขึ้นดอยสุเทพมาตั้งแต่ปี ๒๕๕๐ ซึ่งเป็นช่วงแรกที่เริ่มหัดปั่นจักรยาน เหตุผลก็เพราะว่า ช่วงเวลานั้นผมมีปัญหาชีวิตที่ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร มันรบกวนให้ผมไม่มีสมาธิในการนั่งสมาธิ และทำ ให้เป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา ทั้งที่โดยปกติผมจะนั่งสมาธิทุกวันเพื่อให้การทำงานและการใช้ชีวิตของผมเป็นไปอย่างมีความสงบสุข แต่ ณ ช่วงเวลานั้นผมนั่งไม่ได้เลยต่อมามีเพื่อนแนะนำ ให้หัดขี่จักรยาน จากที่ขี่ไม่เป็นก็ค่อย ๆ หัดจนกระทั่งผมเกิดความคิดที่จะพัฒนาความสามารถในการขี่ให้ถึงขั้นขึ้นสู่ยอดดอยสุเทพให้ได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่มาก สำหรับคนที่เพิ่งหัดขี่ผมคิดว่าการขี่จักรยานก็เป็นกระบวนการเรียนรู้จักชีวิตอย่างหนึ่งเป็นการ ทำจิตใจให้มีสติสมาธิอยู่กับปัจจุบันขณะ มันทำให้ผมหยุดคิดถึงปัญหาต่างๆเพราะต้องตั้งใจขี่เพื่อไม่ให้เกิดอันตราย
จากประสบการณ์นี้ที่ทำให้ผมก้าวข้ามปัญหาในช่วงชีวิตนั้นมาได้ ผมจึงตั้งใจทำ หนังสักเรื่องและอยากถ่ายทอดมันออกมา ถ่ายทำไปหลายรอบ หลายปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่ได้ตัดต่อเพราะยังไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่

ปี ๒๕๕๐ – ๒๕๕๕ ผมทำ ผลงานชุด “ก่อนเกิด หลังตาย” เพื่อทำความเข้าใจว่ามันคืออะไร จากจุดนี้ ทำให้ผมเข้าใจว่า ถ้าเราจะเข้าใจสภาวะก่อนเกิดหลังตาย หรืออดีตกับอนาคต เราต้องทำความเข้าใจปัจจุบันขณะก่อน จนกระทั่งปี ๒๕๕๕ ผมเริ่มทำงานชุด ปัจจุบันขณะ (present moment) เพื่อทำความเข้าใจว่าปัจจุบันขณะคืออะไร ด้วยการทำงานศิลปะผ่านวิธีการต่างๆ เช่น วาดเส้น ภาพเขียน อ่านหนังสือ นั่งสมาธิ ปั้นถ้วยชา ประติมากรรมหุ่นขี้ผึ้ง การแสดงสด วีดีโอ ฯลฯ เหตุผลเพราะปัจจุบันคือจุดเชื่อมต่อระหว่างอดีตกับอนาคต ไม่มีสิ่งใดสามารถเกิดขึ้นในอดีตหรืออนาคต ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นในปัจจุบันขณะเท่านั้น ผมจึงเริ่มต้นความสนใจจากการศึกษางานภาพเขียนเซน (Zen Painting) ว่าองค์ประกอบและปรัชญาของมันคืออะไร 

7

จากการศึกษาผมพบว่า ภาพเขียนเซน ไม่ใช่ภาพเขียน แต่เป็นตัวความจริงของประสบการณ์ที่ผู้เขียนกับสิ่งที่ถูกเขียนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ใช่การอธิบายความจริง งานช่วงแรกผมแสดงออกด้วยวิธีการวาดเส้นขาวดำ และเขียนลายเส้นพู่กัน มีลักษณะคล้ายกับภาพเขียนเซน เป็นการเขียนภาพเหมือนของนามธรรม (เช่น เรื่องของเวลา อิสระภาพความว่างเปล่า ความเป็นหนึ่งเดียว การเปลี่ยนแปลง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในปัจจุบันขณะตลอดเวลา) ยกตัวอย่างการเขียนรูปวงกลมที่แทนค่าสิ่งที่ไร้กาลเวลา ไร้ตัวตน ซึ่งทุกคนสามารถเขียนวงกลมได้โดยไม่ต้องมีทักษะหรือแสดงออกถึงเอกลักษณ์ของงานศิลปะเฉพาะตน ช่วงต่อมาผมจึงวาดงานที่มีรูปแบบเหมือนจริง (realistic) แต่แสดงออกถึงความเป็นนามธรรมของความจริงที่เป็นสากลของสัจธรรม เช่น เรื่องการไร้ความยึดมั่นตัวตนที่แสดงออกด้วยการขออภัยและการให้อภัย ซึ่งปรากฏในรูปเขียนภาพเหมือนตัวเองร่วมกับคุณถวัลย์ ดัชนี เป็นต้น มันไม่ใช่รูปเหมือนของเหตุการณ์จำลองที่เกิดขึ้นของสถานการณ์นั้น แต่เป็นสัจจะที่อยู่เหนือประสบการณ์ของจิตสำนึก

tavan

เมื่อไหร่ที่เรามองสิ่งต่างๆ อย่างเป็นองค์รวม ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ปราศจากทวิภาวะ เช่น เมื่อเราคิด ก็เกิดตัวตน มีตัวตนก็เกิดเวลา และตามมาด้วยความทรงจำของอดีตและความคิดปรุงแต่งของอนาคตสองสิ่งนี้จึงกลายเป็นปัจจุบันที่เราเข้าใจผิดอยู่ตลอดเวลา เพราะคิดว่ามันคือเวลาปัจจุบัน แต่มันไม่ใช่ปัจจุบันขณะที่ผมพยายามจะสื่อสาร เมื่อเราหยุดคิด เพียงเฝ้าดูลมหายใจ เวทนา และจิต สิ่งที่เกิดขึ้นกับสังขารของเราจนกระทั่งลืมตัวตนที่กำลังเฝ้าดูอยู่ เราก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกับทั้งหมด เป็นสภาวะที่ไร้ความคิดปรุงแต่ง มันเป็นปัจจุบันขณะที่เล็กมากและเปลี่ยนแปลงไวมากตลอดเวลา จากช่วงขณะหนึ่งสู่ช่วงขณะหนึ่ง ทุกเสี้ยว ๆ วินาทีเมื่อพูดจบก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว สิ่งนี้อยู่เหนือความเข้าใจและตรรกะ คำนิยามและคำอธิบายระดับภาษา 

สิ่งที่ผมพยายามพูดถึงเกี่ยวกับ“ปัจจุบันขณะ”ในที่นี้มันคือสภาวะที่ปราศจากทุกสิ่งทุกอย่าง และในขณะเดียวกันก็รวมทุกสิ่งทุกอย่างเข้าด้วยกัน เป็นการมีอยู่และไม่มีอยู่ในขณะเดียวกันสภาวะการไร้ซึ่งตัวตน เหนือพ้นกาลเวลา เหนือพ้นทวิภาวะ หากเราได้เข้าไป มีประสบการณ์กับมันสักครั้งหนึ่ง ก็จะทำให้เราเปลี่ยนทัศนคติที่ก้าวข้ามความคิดเห็นที่เกิดจากประสบการณ์ระดับจิตสำนึกของเราที่มองทุกอย่างที่มีตัวตนเป็นศูนย์กลาง เพราะแท้จริงแล้วทุกอย่างคือหนึ่งเดียว

ประสบการณ์นี้อาจคล้ายสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับผมครั้งหนึ่งเมื่อสองปีก่อนผมไม่แน่ใจว่ามันใช่ที่สิ่งเดียวกันหรือเปล่า?ช่วงที่ผมนอนรักษาอาการปวดหลังและพยายามฟื้นตัวเองโดยการขี่จักรยาน ตอนแรกผมอยากขี่ไปถึงแค่ใกล้ ๆ เพราะคิดว่าอาการปวดหลังของผมคงไปไม่ไหว แต่ไม่รู้ทำไมด้วยสภาพอย่างนี้ผมก็อยากลองขี่ไปเรื่อยๆ โดยไม่มีเป้าหมายหรือเวลาที่จำกัด ถ้าเหนื่อยก็พัก ถ้าไม่ไหวก็กลับ หรือจูงไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายโดยไม่ตั้งใจ และไม่ได้คิดอะไร เพียงแค่ดูลมหายใจ เมื่อเวลาผ่านไปสามชั่วโมง มันได้พาผมไปถึงยอดดอยสุเทพ โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เมื่อปั่นลงมาก็ไม่ รู้สึกอิดโรยหรือเหนื่อยเหมือนหลายครั้งที่เคยปั่นไปเพียงเพื่อพิสูจน์ถึงความแข็งแรงของร่างกาย ครั้งนั้น ผมไม่ได้คิดว่าจะไปถึงเมื่อไหร่ ผมชื่นชมกับทุกขณะกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกขณะที่ผมปั่นอยู่ก็คือจุดหมาย ผมประทับใจกับวันนั้นมาก หากผมใช้กระบวนการและความเข้าใจในการปั่นจักรยานวันนั้น ที่ไม่มีความภาคภูมิใจ ไม่มีการท้อแท้ ไม่มีตัวตน ไม่คาดหวังผลสำเร็จ เพียงแค่ทำกิจกรรมที่ทำอยู่อย่างมีสติเต็มที่ นำสิ่งเหล่านี้มาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันและการทำงาน ชีวิตก็คงจะเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์From-moment-05

ผมเลือกวันที่ ๑มกราคมเหมือนการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของทุกปี ซึ่งผมอยากจะเริ่มต้นโดยมีประสบการณ์ที่ดีนั้นอีกครั้งด้วยการพยายามถ่ายทำวีดีโอเกี่ยวกับประสบการณ์ในเรื่องนี้ แต่ผมกลับป่วยเป็นไข้ในวันนั้น จึงเลื่อนเป็นวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ซึ่งผมคิดว่าเป็นวันที่มีความหมายที่ดี เพราะตรงกับวันที่เชื่อกันว่าเป็นวันแห่งความรัก ความรักคือการให้ การให้ที่แท้จริงคือการให้โดยไม่มีตัวตน เมื่อไหร่ที่เราไม่ยึดมั่นถือมั่น ทุกสิ่งก็คือการให้ เมื่อถึงวันกำหนดถ่าย ช่างภาพกลับไม่ว่าง เพราะมีนัดตอนเก้าโมงเช้า ผมจึงเสนอให้เขาถ่ายเท่าที่เขามีเวลาว่าง หากเขาต้องกลับก่อนผมก็ปั่นต่อเอง โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีการถ่ายทำต่อก็ได้ เขาถามผมว่าจะไม่ถ่ายให้จบเหรอ ผมจึงถามว่าอะไรคือจบ เพราะแท้จริงแล้วเราไม่เคยรู้ว่าอะไรคือความสมบูรณ์ เพราะการยอมรับข้อจำกัดของธรรมชาติและเงื่อนไขต่างๆ ก็คือส่วนหนึ่งของความสมบูรณ์

มีหลายปัจจัยเกิดขึ้นในขณะการถ่ายทำ เช่น ผมมีความรู้สึกร่วมมากกับการถูกถ่ายบันทึก หรือการพยายามไม่คุยกับคนรอบตัว หรือเมื่อเห็นผีเสื้อนอนหงายกระดิกขาอยู่กลางถนนก็ไม่หยุดรถเพื่อช่วยผีเสื้อทั้งหมดเพียงเพราะผมกำลังถ่ายวีดีโอทั้งๆที่ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติ ผมจะหยุดเพื่อปฏิสัมพันธ์กับสิ่งรอบข้าง แล้วอยู่กับปัจจุบันขณะนั้น เช่น ปกติแล้วถ้าผมเจอเศษแก้วหรือตะปู ผมก็จะเก็บมัน แต่ ณ เวลานั้นผมตั้งใจที่จะถ่ายทำมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว ขณะที่ผมขี่จักรยานไป ผมมีเพียงสองเป้าหมาย หนึ่ง เป้าหมายภายนอก ก็คือการไปถึงยอดดอย และการถ่ายทำวีดีโอ สองเป้าหมายภายใน ก็คือการแข่งกับเวลาและการคาดหวังในความสำเร็จ

ก่อนที่ผมจะถึงยอดดอยตรงบริเวณโค้งหักศอก ผมเหนื่อยมากและอยากจะหยุดพักหรือไม่ก็ลงเข็น แต่พอเห็นกล้องผมจึงฝืนขี่ไปต่อจนถึงยอดดอย หลังจากนั้นทำให้ผมปวดหลังมาก ผมจึงถามตัวเองว่า แล้วจริง ๆ เป้าหมายของผมครั้งนี้คืออะไร ไม่ว่าจะเป็นการขี่จักรยานจนให้ถึงยอดดอย หรือการถ่ายทำวีดีโอ การแข่งขันกับเวลา และการคาดหวังผลสำเร็จที่ดี ล้วนเป็นเงื่อนไขของเกมที่ผมกำหนดขึ้นเอง ในชีวิตจริงทุกสิ่งก็เป็นเกมที่เรากำหนดขึ้นและหลงไปยึดกับมัน จนหลงลืมเจตนาที่แท้จริง เราเกิดมาและมีชีวิตอยู่ชั่วคราว แล้วเราทุกคนก็จะจากไปโดยไม่สามารถนำอะไรไปได้เลย หากผมไม่ได้ขี่จักรยานเพื่อถ่ายหนังในวันนี้ ผมก็คงไม่เห็นภาวะของการยึดติดกับเกมและข้อกำหนดต่าง ๆ ที่ผมสร้างขึ้นเอง การคาดหวัง และยึึดมั่นถือมั่นทำให้เราขาดอิสระภาพที่แท้จริง เพราะเราไม่ได้อยู่กับปัจจุบันขณะที่เราเป็นอยู่ เป็นสภาวะของระดับจิตไร้สำนึกที่เราไม่รู้ตัวเลย 

From-moment-06จากจุดนี้เอง ผมได้เกิดการตระหนักรู้เกี่ยวกับกระบวนการสร้างสรรค์ที่วิเศษ คือการไม่พยายามทำผลงาน โดยมีความคาดหวังผลสำเร็จ แต่ปล่อยให้มันเป็นวิถีการดำเนินชีวิตที่สอดคล้อกับ ข้อจำกัดของธรรมชาติและเงื่อนไขต่างๆ ในขณะนั้นเราจะมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างแท้จริง ได้อย่างไรโดยไม่หลงไปกับเกมที่เราสร้างขึ้น?เป้าหมายของการเข้าใจในปัจจุบันขณะคือการ ก้าวข้ามกฏเกณท์ที่เราสร้างขึ้นที่มีตัวตนเป็นศูนย์กลางเพื่อที่จะเข้าสู่กฏเกณท์ของสัจธรรมที่มีเราเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลอย่างแท้จริง

 

“ทุกขณะของการดำเนินชีวิตในแต่ละวันก็เหมือนกับการขี่จักรยานขึ้นดอย “

Share Published on Feb 19, 2017 at 10:51 pm.
Filled under: News
No Comments

You must be logged in to post a comment.