News

ไม่มีอดีต ไม่มีปัจจุบัน ไม่มีอนาคต (การแสดงที่ปราศจากการแสดง)

Language : ENGLISH : THAI

8

นักเรียน : ท่านหมายความว่าทุกสิ่งที่เราทำคือละครอย่างนั้นหรือ?
ตรุงปะ : ใช่แล้ว ยกเว้นการภาวนา

จากข้อความบทนี้ทำให้ผมเข้าใจว่าโลกนี้คือเวทีและทุกคนเป็นนักแสดงอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น ศีลธรรม กฎหมาย ความเชื่อ ฯลฯ ที่่มีอยู่ภายในจิตสำนึก ยกเว้นขณะที่เรานั่งสมาธิเท่านั้นที่ปราศจากการแสดงและเป็นอิสระ ปราศจากกฎเกณฑ์ต่าง ๆ อยู่นอกเหนือจิตสำนึกและเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ

ผมพยายามจะทำความเข้าใจว่า สภาวะที่เป็นอิสระอยู่เหนือกฏเกณฑ์ต่าง ๆ นี้จะมีจริงหรือ? แล้วถ้ามีสภาวะเช่นนั้นอยู่จริง เราจะเข้าถึงมันได้อย่างไร? แล้วจะมีประโยชน์อะไรเมื่อเข้าใจมัน? ผมพยายามคิดและทำความเข้าใจอยู่เป็นเวลาสองปี เริ่มจากการค้นคว้าอ่านหนังสือต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการภาวนาและปัจจุบันขณะ และพยายามทำความเข้าใจว่าปัจจุบันขณะคืออะไรและสภาวะที่ปราศจากความคิดปรุงแต่งจะเกิดขึ้นได้อย่างไร? ด้วยการฝึกและเฝ้าสังเกตจากการปฏิบัติสมาธิทุก ๆ วัน

ผมพบว่าความคิดทำให้เกิดสำนึกในเรื่องของเวลา อดีต ปัจจุบันและอนาคต และทำให้เกิดตัวตน เราจะเข้าใจเวลาได้เพราะมีประสบการณ์เข้ามาคั่น มันจึงทำให้เราเข้าใจว่าเวลามีอยู่ เกิดผู้เฝ้าสังเกตและสิ่งที่ถูกสังเกต ดังนั้นวิธีการที่จะเข้าถึงการปราศจากตัวตนและอยู่เหนือกาลเวลาก็คือการหยุดความคิดปรุงแต่ง เริ่มด้วยการเฝ้าดูลมหายใจเข้าออก จนกระทั่งลมหายใจหายไป ตัวผู้เฝ้าสังเกตหายไป เกิดการรวมกันเป็นหนึ่งเดียว

ผมได้ทำประติมากรรมเป็นรูปเหมือนของผมในท่านั่งสมาธิโดยปราศจากเครื่องนุ่งห่ม เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นอิสระจากกฎเกณฑ์ทางวัฒนธรรมและความเชื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ดี-เลว สวย-ไม่สวย ถูก-ผิด ฯลฯ ให้กลับไปหาจุดเริ่มต้นของการเป็นธรรมชาติ แล้วเอาสิ่งนี้เข้าไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ ในความหมายของผม รูปปั้นท่านี้เป็นพฤติกรรมที่ปราศจากการแสดง แต่เมื่อเรานำกลับไปแสดง มันจะยังเป็นกิจกรรมที่ปราศจากการแสดงอยู่หรือเปล่า?

หลังจากนั้นผมเลยคิดว่าจะเพิ่มการแสดงสดเข้าไปร่วม ถ้าเป็นตัวผมนั่งเปลือยกายอยู่จริง ๆ ในพิพิธภัณฑ์แทนหุ่น มันจะยังคงเป็นสภาวะที่เข้าถึงความจริงโดยปราศจากการแสดงหรือเป็นการแสดง และอะไรคือตัวชี้วัดว่ามันเป็นสภาวะที่อยู่เหนือกฏเกณฑ์ต่าง ๆ รวมถึงกาลเวลา เป็นอิสระและเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติทั้งหมด? เหตุผลของการแสดงสดของผมก็คือ ผมอยากมีประสบการณ์กับความจริงโดยตรง

๒๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ผมเดินทางจากเชียงใหม่ไปปารีส ตั้งแต่หกโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น ตรงเข้าที่พัก จากนั้นจึงเดินทางต่อไปยังไปพิพิทภัณฑ์ Palais de Tokyo แล้วตรงไปยังงานประติมากรรมรูปเหมือนของผมที่ตั้งแสดงอยู่ เมื่อไปถึงผมก็ยกงานประติมากรรมเก็บไว้ข้างใต้ แล้วถอดเสื้อผ้าขึ้นไปนั่งแทนรูปปั้นตั้งแต่หนึ่งทุ่มจนถึงอีกสิบนาทีก่อนห้าทุ่ม ช่วงแรกผมรู้สึกไม่แน่ใจนักว่าจะทำดีหรือเปล่า เพราะได้คุยกับภัณฑารักษ์ (curator) ของงานไว้ว่า ถ้าผมเกิดความอายหรือไม่กล้าที่จะทำต่อหน้าผู้คนมากมายก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง ผมจึงเรียกมันว่าการแสดงที่ปราศจากการแสดง (perform without perform) เพราะมันไม่ได้เป็นการแสดงเพื่อที่จะโชว์ แต่เป็นการแสดงเพื่อที่จะเรียนรู้และเข้าใจความจริงภายในตัวผม ภัณฑารักษ์ (curator) ก็บอกว่าเหมือนผมจะมีลูกเล่น (tricky) อะไรหรือเปล่าที่เมื่อไปถึงแล้วจะไม่แสดง แต่ผมตอบว่าไม่ใช่ เพราะว่าผมได้บอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าผมอาจจะไม่ทำการแสดง และผมมีสิทธิ์ที่จะเลือกแสดงหรือไม่แสดงก็ได้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในเวลานั้น ส่วนคุณก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ให้ผมไปก็ได้ตั้งแต่ตอนที่พูดคุยตกลงกัน

nopast1

ผมคิดถึงเหตุปัจจัยมากมายว่าจะทำหรือไม่ทำดี เพราะผมรู้ว่ามันมีสิ่งที่หมิ่นเหม่อยู่ อาจทำให้หลายคนที่ไม่เข้าใจงานชิ้นนี้และคิดว่าผมทำมันเพื่ออยากดังและโอ้อวดความสามารถในการปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะการแก้ผ้านั่งสมาธิ ซึ่งมันเป็นราคาสูงมากที่ผมรู้อยู่แล้วว่าต้องจ่ายเพื่อการเรียนรู้ครั้งนี้ ผมคิดแม้กระทั่งว่าจะไม่ไปฝรั่่งเศสในวินาทีสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่อง แต่สุดท้ายผมก็คิดว่า ความสงสัยนี้จะยังอยู่ในตัวผมตลอดไป ผมจึงตัดสินใจขึ้นเครื่องและจะต้องทำมันเพื่อตอบข้อสงสัยของผม

ผมตั้งใจว่าจะนั่งเท่าที่นั่งได้ จะเป็นสิบนาทีหรือหนึ่งชั่วโมงก็ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและเหตุปัจจัยต่าง ๆ ณ ขณะนั้น ผมจึงเริ่มถอดเสื้อผ้า ยกหุ่นเก็บไว้ใต้แท่นที่นั่งแล้วขึ้นไปนั่งแทน ในช่วงนั้นมีผู้ชมประมาณสิบกว่าคน และทุกคนก็ประหลาดใจว่าผมจะทำอะไร เพราะไม่ได้มีการประกาศต่อสาธารณะมาก่อน มีผู้รู้เพียงภัณฑารักษ์ (curator) และผู้ช่วยภัณฑารักษ์ (assistant curator) เท่านั้น ขณะที่ผมเริ่มนั่ง ผมสังเกตและรู้สึกได้ถึงเสียงภายในตัวผม ซึ่งก็คือเสียงการเต้นของหัวใจผมที่แรงมาก และเสียงต่าง ๆ ภายนอกตัวผมก็ดังมาก เช่นเสียงพูดของคนรอบข้าง เสียงแฟลชของกล้องถ่ายรูป เสียงดนตรีและการแสดงงานชิ้นอื่น ๆ ของปาร์ตี้การเปิดงาน ฯลฯ

ณ เวลานั้นผมรู้สึกสับสน ความอายและคำถามต่าง ๆ ที่อยู่ในตัวผมต่างเข้ามาในสมองผมตอนนั้นมากมาย แต่ผมก็พยายามหายใจลึก ๆ ช้า ๆ ไปเรื่อย ๆ เพราะมีประตูที่จะเข้าสู่ความสงบมีอยู่แค่ประตูเดียวก็คืออยู่กับลมหายใจ ณ ปัจจุบันขณะ ถ้าหากอยู่กับลมหายใจได้แล้ว อย่างอื่่นที่จะเกิดขึ้นก็จะเป็นไปตามจังหวะของมันเอง ผมเฝ้าอยู่กับปัจจุบันขณะด้วยการดูลมหายใจจนกระทั่งลมหายใจและตัวผมรวมเป็นหนึ่ง ผมมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ผมสัปหงก แล้วก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ผมจึงตัดสินใจเลิกนั่ง รวมเวลาที่นั่งเกือบสี่ชั่วโมง ผมก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน หลังจากนั้นผมก็เอาหุ่นกลับขึ้นมาตั้งแทนที่ผม 

9

โดยสรุปแล้ว ผมก็ยังไม่สามารถเข้าใจว่าในช่วงขณะที่ผมนั่งอยู่นั้น ที่มีสมาธิสูง มันจะเรียกว่าการไม่มีกาลเวลาได้ไหม ผมไม่สามารถสรุปได้ชัดเจน มันคงมีเวลาอยู่ แต่เป็นเวลาที่อยู่เหนือมิติเวลาของอดีต ปัจจุบัน อนาคต มันไม่มีประสบการณ์ของความคิดและอยู่เหนือจิตสำนึกของผู้เฝ้าสังเกตอยู่ จึงไม่สามารถเอาประสบการณ์ไปอิงกับมิติเวลาของอดีต ปัจจุบัน อนาคตได้ ดังนั้นขณะที่ผมนั่งอยู่ แม้เวลาภายนอกตัวผมผ่านไปแล้วหลายชั่วโมง แต่มิติเวลาภายในตัวผมเป็นเวลาที่ไม่มีอดีต ไม่มีปัจจุบัน ไม่มีอนาคต มันจึงเหมือนผ่านไปเพียงชั่วขณะเดียว

หลังจากเสร็จการแสดง ผมก็ตรงกลับไปยังที่พัก โดยไม่ได้ทักทายสนทนากับใครมากนัก เช้าของวันรุ่งขึ้นผมได้เจอกับเพื่อนศิลปินชาวอินโดนีเซียที่ร่วมงานแสดง ชื่อ Tisna Sanjaya แล้วเขาก็บอกผมว่าLittle Buddha ผมเป็นชาวพุทธแต่เป็นชาวพุทธที่เปลือยกาย เป็นการเมืองยิ่งกว่าศิลปะการเมือง เขาพูดว่างานที่ผมทำเป็นงานที่ดีที่สุด ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเขาพูดเล่นหรือพูดจริง คิดว่าเขาคงแซวเล่นมากกว่า ผมจึงยิ้มรับตามมารยาทและแยกย้ายไป

ต่อมาช่วงบ่าย ผมกลับไปที่งานเพื่อคิดทบทวนว่าผมจะแสดงสดอีกหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจว่าจะไม่แสดงสดเพราะมันไม่ใช่การแสดง ผมได้เรียนรู้จากมันไปแล้ว จึงไม่ต้องมีการแสดงสดเกิดขึ้นอีก แล้วเจอ Tisna อีกครั้ง เขากำลังแสดงสดอยู่ตรงข้ามชิ้นงานของผม โดยเชิญผู้ชมมานั่งแล้วอธิษฐาน แล้วเอาถุงพลาสติกมาโบกรับอากาศที่คนอธิษฐานไปเพื่อรวบรวมคำอธิษฐานของผู้ชมทั้งหลายไว้ในถุงเป็นจำนวนหลายถุง แล้วห้อยไว้ในห้องแสดงงานเต็มไปหมด

ตอนแรกผมรู้สึกว่าการแสดงของเขาเป็นความคิดที่เป็นอุดมคติและเพ้อฝัน เขาเชิญให้ผมไปร่วมการแสดงและอธิษฐานเพื่อโลกใบนี้ ผมจึงอธิษฐานว่า “ขอให้ทุกคนพบสันติภายในตน” จากนั้นเขาก็ล้างเท้าให้ผมแล้วใช้ผ้าเช็ดให้แห้งอย่างดี แล้วก็จูบเท้าผม ณ เวลานั้นผมประหลาดใจที่เขาทำเช่นนั้นให้ผู้ร่วมการแสดง ผมจึงถามเขาว่าเขาจูบเท้าทุกคนที่ร่วมแสดงกับเขาหรือเปล่า เขาตอบว่า ในชีวิตเขาจูบเท้าแค่สามคน คือแม่เขา ครูของเขา และก็ผม จากคำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกถึงความจริงใจที่เขามีต่อสิ่งที่เขาเชื่อและการแสดงออก ผมรู้สึกว่าศรัทธาที่เขามีต่อผมมีมากกว่าศรัทธาที่ผมมีต่อตัวเอง ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีคุณค่ามากพอต่อเขา ระหว่างการแสดงสดก็มีบทสนทนา เขาถามผมว่าผมเชื่อไหมว่างานศิลปะที่ผมทำ และศิลปะที่เขาทำจะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้หรือไม่? ผมตอบว่าผมไม่รู้ว่ามันจะเปลี่ยนอะไรได้บ้าง แต่ ณ ตอนนี้สิ่งที่เขาทำกับผม มันได้เปลี่ยนทัศนคติที่ผมมีต่อเขาและต่อตนเองทั้งหมดก่อนหน้านี้ ผมคิดว่ามันคือพลังงานบวกได้แก่ความศรัทธาและความบริสุทธิ์ใจในการแสดงออกของเขาที่เปลี่ยนแปลงผม ถ้ามันสามารถเปลี่ยนแปลงผมได้ มันก็น่าจะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้เช่นกัน

เย็นวันอาทิตย์ที่ ๒๙ มีนาคม ผมเจอเขาหน้าโรงแรมที่เขาพักอยู่ เราจะกลับกันเช้าวันจันทร์ ผมจึงชวนเขาไปทานอาหารเย็น เพื่อจะมีเวลาพูดคุยและทำความรู้จักกับเขามากยิ่งขึ้น เขาบอกว่าไม่ว่างที่จะไปด้วย เพราะต้องเขียนบทความส่งหนังสือพิมพ์ เขาต้องเขียนรายงานข่าวจากการที่ได้มาร่วมแสดงงาน และแบ่งปันประสบการณ์ของเขาให้กับนักเรียน นักศึกษาหรือคนที่ไม่มีโอกาสได้มา เพื่อให้เกิดความรู้มากขึ้น ซึ่งขณะนั้นก็เลยกำหนดส่งแล้ว แต่ผมก็บอกว่าจะยังไงเขาก็ต้องกินข้าวเย็นอยู่แล้ว เสร็จแล้วค่อยกลับมาทำต่อก็ได้ เขากล่าวขอโทษผมที่ปฏิเสธในความเป็นบุคลิกส่วนตัวของเขา เพราะเขามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อมาแสดงงานของเขาอย่างเดียวแต่มาเพื่อคนของประเทศเขาด้วย

nopast2

ผมรู้สึกประทับใจถึงความเสียสละและมุ่งมั่นเพื่อส่วนรวมที่มีอยู่ในตัวเขา แล้วย้อนกลับมาดูตัวผมเองว่าผมมาแสดงงานเพื่ออะไร? เพื่อตัวผมเอง เพื่อความสงสัยในตัวผม ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมทำมาทั้งหมด ยังคงเป็นไปเพื่อการแสดง เพราะผมยังรู้สึกได้ถึงความกังวลที่ยังมีอยู่ภายในจิตใจทั้งก่อนหน้าและหลังจากการแสดงสด ในขณะที่ผมพยายามทำความเข้าใจความจริงผ่านการนั่งสมาธิ แต่ Tisna กลับมีความจริงและเป็นอิสระเหนือกฎเกณฑ์มีอยู่แล้วภายในตนโดยธรรมชาติ สิ่งที่เขาแสดงออกเต็มไปด้วยพลังแห่งศรัทธา ความเชื่อมั่น การเสียสละ มุ่งมั่น ความบริสุทธิ์ที่ปราศจากการยึดมั่นตัวตนเป็นศูนย์กลาง มันอยู่เหนือศิลปะและกาลเวลา สิ่งที่เขาทำมันไม่ใช่การแสดง แต่เป็นการภาวนา การภาวนาไม่ใช่เพียงแค่การนั่งสมาธิเท่านั้น แต่มันมีอยู่ในทุกอริยาบทในกิจกรรมที่เราจดจ่อหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่เรากำลังกระทำอยู่ และผมเชื่อว่าสิ่งนี้เป็นจุดกำเนิดของการสร้างสรรค์ที่แท้จริง

 

11 เมษายน 2558

 

Share Published on Feb 20, 2017 at 3:31 am.
Filled under: News
No Comments

You must be logged in to post a comment.