News

นิรนาม

Language : ENGLISH : THAI

สองวันก่อน ผมขี่จักรยานเล่นในเมืองผ่านถนนท่าแพ เห็นป้ายขนาดใหญ่ติดอยู่หน้าร้านขายของ เขียนคำว่า ‘you cannot get lost if you don’t care where you are’ ผมรู้สึกแปลกใจ ก็เลยหยุดแวะชมว่าในร้านขายอะไร ก็มีโปสการ์ด รูปวาดมากมาย ของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว มีรูปวาดโปสการ์ดทำมือที่เขียนข้อความคำคมสอนใจ มีข้อความที่น่าสนใจเช่น

‘No ego, no cry.’

‘ไม่มีอัตตา ไม่มีน้ำตา’

‘Life is not about waiting for the storm to pass, but is about dancing in the rain.’

‘ชีวิตไม่ใช่การรอให้พายุผ่านพ้นไป แต่เป็นการร่ายรำกลางสายฝน’

‘Life Is not measured by the number of breaths we take, but by the number of moments that take our breath away.’

‘ชีวิตไม่ได้ถูกวัดที่จำนวนลมหายใจเข้า แต่วัดที่จำนวนแห่งความปีติจนเราลืมหายใจ’

‘The pessimist sees the hole, the optimist sees the doughnut.’

‘คนมองโลกแง่ร้ายเห็นรูโหว่ คนมองโลกแง่ดีเห็นเป็นโดนัท’

ผมรู้สึกประทับใจในคำคมหล่านี้มาก เลยอยากสนทนากับคนเขียน และขอสัมภาษณ์เขาว่า คำคมเหล่านี้เขาคิดขึ้นเองหรือเอามาจากไหน?

-ก็ได้มาจากสิ่งรอบตัวจากคนที่เข้ามาในร้านและพูดคุยกัน เช่นคุณหรือจากหนังสือที่อ่าน

แล้วพี่ทำมานานหรือยัง?

-30ปี

แล้วที่พี่ทำอยู่คืออะไร?

-ผมก็ไม่รู้ ผมเพียงแต่ทำแล้วมีความสุข

แล้วพี่ทำมันเป็นศิลปะ หรือ commercial art?

-ผมไม่รู้ ผมก็ไม่ได้เรียนมา แค่ทำแล้วมีความสุข ไม่ได้คิดอะไรมาก

แล้วต้องการจะสื่ออะไร? กับคนที่มาดูหรือซื้องาน

-ไม่รู้จะอธิบายยังไง ผมก็ทำอย่างนี้ ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อน เพราะทำอะไรซับซ้อนไม่เป็น มันเหมือนกับคนที่เดินเข้าไปในป่า แล้วเห็นว่าป่าเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น ใครจะคิดอะไร ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน คำพูดคำคมเหล่านี้ ก็มีมาตั้งนานแล้ว คนมาซื้อก็ขาย ไม่มาก็ทำไปเรื่อยๆ

ผมเหลือบไปเห็นก้อนหินที่วาดเป็นรูปภูเขาฟูจิยามา และมีตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นเขียนอยู่ ผมคิดว่าสวยดีเลยถามว่ามันเขียนว่าอะไร? เขาตอบว่ามันคือก้อนหินที่เขาเก็บได้บนภูเขา ตอนไปเที่ยวกับแฟน แล้วเขียนรูปนี้กับแฟนบนภูเขาที่นั้น ตัวอักษรนั้นมีความหมายว่า

You are my happiness, you are my sadness.
แปลว่าเมื่อคุณมีความสุข ฉันสุขด้วย เมื่อคุณมีความทุกข์ ฉันทุกข์ด้วย

ผมฟังแล้วรู้สึกประทับใจมาก จึงอยากได้ก้อนหินนั้น แต่ก็เกรงใจ เพราะคิดว่ามันเป็นประสบการณ์ส่วนตัว และคงมีคุณค่าทางจิตใจมากสำหรับเขา และผมไม่ควรเข้าไปก้าวก่าย แต่เนื่องจากเห็นว่าที่นี้เป็นร้านค้า แล้วเมื่อก่อนหน้าสักครู่เขาก็พูดว่าขายทุกอย่าง ไม่สะสมอะไร ผมจึงถามเล่นๆว่า

พี่ขายหินนี้ด้วยหรือเปล่า?

-ไม่ได้ทำไว้ขาย แต่ถ้าอยากได้ก็เอาไป

ผมก็เลยงงๆว่า ถ้าไม่ขายแล้วให้ผมเอาไปยังไง เพราะผมไม่อยากได้ของฟรี

-ก็แล้วแต่คุณจะให้ราคา

ผมอดที่อยากจะเข้าใจไม่ได้ ก็เลยถามว่า

ของอย่างนี้ทำไมถึงขาย? แล้วพี่ไม่เสียดายหรือ?

-ก็ถ้ามีคนอยากได้ แล้วทำให้เขามีความสุข ก็เอาไป ส่วนผมเองยังมีโอกาสที่จะหาความสุขแบบนี้ได้อีก….

ผมพักเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นต่อ ทั้งเรื่องความคิดและวิถีชีวิตประจำวันและประสบการณ์ในอดีตของเขา ขณะนั้นผมเหลือบไปเห็นรูปเล็กๆที่ติดข้างโต๊ะทำงานเขา เป็นโปสการ์ดรูปวงกลมสีแดงเขียนลายเส้นเหมือนใบหน้าของเขา และมีตัวหนังสือเขียนว่า ‘In a world full of compromise, artist don’t.’

ผมเลยถามถึงความหมายของมัน? เขาจึงอธิบายว่า

คือจะต่อรองอะไรในโลกก็ทำไปเถอะแต่ไม่ต้องมากดดันศิลปินนะ เพราะศิลปินเขาเป็นอิสระ

ณ ขณะนั้น ในใจ ผมรู้สึกประทับใจ ซาบซึ้งมากในฐานะที่เป็นศิลปินคนหนึ่ง เพราะคำๆ นี้ทำให้นึกถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาในอดีต ที่ผมพยายามค้นหาความหมายที่แท้จริงของศิลปะและคุณค่าของชีวิต ว่ามันคืออะไร? ในหลายๆประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมต้องมีการต่อรองและถูกกดดันทางความคิด ความเชื่อและอุดตมคติ กับสังคมและบุคคลรอบข้างที่ไม่มีความเข้าใจ ในจุดมุ่งหมายและความบริสุทธิ์ใจในการทำงานศิลปะ ทุกขณะของการดำเนินชีวิต ผมต้องอยู่กับการต่อรองกับตัวเองตลอดเวลา ณ เวลานั้นเอง ทำให้ผมเกิดคำถามภายในใจ หรือว่าเรายังไม่ใช่ศิลปินที่แท้จริงใช่ไหม? เพราะจิตใจของเรายังไม่เป็นอิสระจากการสร้างสรรค์ การต่อรองและความกดดัน ศิลปะของเรายังไม่รวมเป็นหนึ่งกับวิถีชีวิตอย่างที่ชายผู้นี้เป็น ณ.ขณะนั้น ผมรู้สึกปีติยินดีมากที่ได้มีโอกาสพบกับเขา…ศิลปินนิรนาม

ป.ล. เขาไม่ต้องการให้ผมบอกกล่าวชื่อจริงของเขาในพื้นที่สาธารณะ และนี่คือความตั้งใจของเขาที่ผมเคารพ และขอขอบคุณสำหรับการที่ทำให้ผมได้เข้าใจในคุณค่าของการสร้างสรรค์ และการเป็นศิลปินที่แท้… ที่ปรากฎอยู่ในความเป็นธรรมดาสามัญ ที่มีอยู่แล้วในวิถีการดำเนินชีวิตเราทุกคน มันเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าใจได้แต่น้อยคนที่จะเข้าถึงความพิเศษของความเป็นธรรมดา

ประมาณหนึ่งอาทิตย์ต่อมา ผมยังคงประทับใจและคิดถึงเรื่องราวที่ได้พบเจอเขา และอยากจะแบ่งปันประสบการณ์นี้ใน www 31century.org ผมกลับไปหาเขาเพื่อที่จะขออนุญาตในการเผยแพร่บทความนี้ เขาก็ยินยอม เราก็ได้พูดคุยกันต่อมากมายและเขาได้พาชมบ้านที่พักชั้นสอง ผมพบเห็นสมุดวาดรูปที่หน้าปกเขียนว่า”Energies In Fusion”วาดและเขียนบทกวีโดยเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างเขาและเพื่อนสาวชาวญี่ปุ่น สลับกันทั้งวาดและเขียนบทกวี ทำขึ้นประมาณ๑๐ปีก่อน

เขาเปิดสมุดให้ผมดู มันถูกห่อหุ้มด้วยพลาสติกอย่างเรียบร้อย ผมรู้สึกได้ถึงการเอาใจใส่กับมันเป็นพิเศษ เขาเริ่มบรรยายความหมายของบทกวีที่เขียนขึ้นทั้งภาษาญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษรวมทั้งประสบการณ์ที่อยู่เบื้องหลัง

“I want to do to you what spring does to the sakura trees.”

“ฉันปราถนาทำกับคุณดั่งที่ฤดูใบ้ไม้ผลิทำกับต้นซากุระ”

ผมเหลือบไปเห็นป้ายราคา 200,000บาท ผมก็เลยถามเขาว่าแล้วเล่มนี้พี่ก็ขายมันด้วยหรือ? เขาตอบว่าใช่…

ภายในใจผมเริ่มสับสนกับคำตอบและสงสัยว่าทำไมเขาถึงขายเพราะผมคิดว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจมากๆสำหรับเขา และสมมุติว่าผมเป็นเขา ใครให้เท่าไรก็คงไม่มีทางขายแน่นอน ผมเลยถามต่อไปว่าถ้าผมต้องการจะซื้อมันพี่จะขายผมเท่าไร?

เขาตอบว่าเท่าไรก็ได้ที่คุณคิดว่าเหมาะสม เมื่อให้แล้วมันไม่ทำให้คุณลำบาก ผมเข้าใจว่าคุณค่าของศิลปะไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคา

ผมถามเขาต่อไปว่า ในเมื่อคุณค่าของศิลปะไม่ได้อยู่ที่ราคาแล้วทำไมพี่ถึงขายและไม่เสียดายมันหรือ?

เขาตอบว่า ผมอายุจะ๗๐ปีแล้ว จะเก็บสะสมอะไรไปทำไม…เราเอาไปไม่ได้สักอย่าง

ณ.ขณะนั้น ผมรู้ทันทีโดยสันชาติญาณว่าสมุดเล่มนี้จะต้องอยู่ใน พิพิธภัณฑ์จิตวิญาณแห่งศตวรรษที่๓๑

๒๑ กันยายน ๒๕๕๕

Share Published on Sep 23, 2012 at 10:48 pm.
Filled under: News
No Comments

You must be logged in to post a comment.